พิมพ์
รายละเอียด: | ฮิต: 24954

ให้เรตสมาชิก: 4 / 5

ดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งานดาวไม่ได้ใช้งาน
 

ตอบปัญหาคาใจในการบวช สำหรับ ว่าที่ธรรมทายาท

1.ทำไมต้องบวช บวชแล้วดีอย่างไร ?
การบวชมีข้อดีหลายอย่าง สรุปย่อ ๆ ได้ดังนี้
1.ทำให้มีโอกาสฝึกฝนตนเองให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นตามคำสอนของ
สัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะช่วยให้เป็นคนดียิ่งขึ้น และสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้มากขึ้น
2.ทำให้ตนเป็นที่พึ่งของตนได้ เพราะการบวชทำให้มีโอกาสศึกษา
ธรรมะ ทำให้รู้ว่า เราเกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายชีวิต อะไรเป็นที่พึ่ง เป็นสาระของชีวิต
3.ถ้าเราตั้งใจบวชอย่างเต็มที่แล้ว การบวชของเราจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
ทั้งต่อตนเอง ต่อวัด ต่อพระศาสนา และต่อผู้อื่น เช่น บิดามารดา ผู้สนับสนุน และญาติโยม ซึ่งจะได้อาศัยเราเป็นเนื้อนาบุญ

2.บวชแล้วได้บุญจริงหรือ?

จริงสิ บุญบวชเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่มาก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยตรัสว่า “ถึงแม้จะมีผู้วิเศษเก็บดอกไม้จนหมดป่าหิมพานต์ แล้วนำมาบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้ง ๑,๐๐๐ พระองค์ กระทำดังนี้ทุกวัน ผลบุญจากการบูชานั้นก็ไม่เท่าผลบุญจากการบวชเป็นพุทธบูชาในพระพุทธศาสนา” (ที่มา : การบวชในพระพุทธศาสนา พระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส)
นอกจากนี้ ผู้บวชยังได้บุญเป็นเวลายาวนานถึง ๖๔ กัป พ่อแม่ได้ถึง ๓๒ กัป
เวลา ๑ กัป เป็นเวลาที่ยาวนานมาก สมมติว่า มีขุนเขากว้างใหญ่สูง ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์  (๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร) ทุกเวลา ๑๐๐ ปี มีเทวดาเอาผ้าทิพย์เนื้อละเอียดลงมาลูบขุนเขานั้นหนหนึ่ง จนขุนเขานั้นสึกลงมาราบเสมอกับพื้นดิน ถือว่าเป็นเวลา ๑ กัป

3.การอบรมธรรมทายาทสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนให้ดีขึ้นได้หรือ?
ได้สิ เพราะที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เมื่อเราลืมตา เราก็จะมองเห็นคนทั้งโลก มองเห็นข้อบกพร่องของเขา แต่ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง ถ้าเราได้ปฏิบัติธรรม ปิดตาแต่เปิดใจ เมื่อนั้นเราก็จะเห็นข้อบกพร่องของตัวเอง เราจะได้รีบแก้ไข ขอเพียงเราได้มีเวลาหยุดคิด เราก็จะคิดได้
ตั้งแต่เกิดมา เราเคยทำสิ่งที่ไม่ดีมามากแล้ว จะลองให้เวลาตัวเองทำสิ่งที่ดีบ้างไม่ได้เชียวหรือ

4.การอบรมช่วยให้การเรียน หรือการงานดีขึ้นได้หรือเปล่า?

ได้สิ เพราะ
1.เราจะได้ฝึกตัวเองให้มีความอดทน มีระเบียบวินัย สามารถแบ่งเวลาได้ดีขึ้น และไม่ขี้
เกียจ อ่านหนังสือ หรือทำการงาน
2.การฝึกสมาธิเหมือนกับเลนส์ที่รวมแสงอาทิตย์ให้สามารถนำพลังงานใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น สมาธิก็จะทำให้เรานำความสามารถมาใช้ได้มากขึ้นเช่นกัน เพราะใจมีคุณภาพมากขึ้น เมื่อมีสติ มีสมาธิ ก็จะมีปัญญาตามมา

5.ยังไม่อยากบวช ไม่เห็นความสำคัญ

การอบรมธรรมทายาท ทำให้ได้ฝึกฝนตนเอง แก้ไขข้อบกพร่อง เปลี่ยนจากคนที่วนอยู่ในกระแสกิเลส เป็นมนุษย์ผู้มีจิตใจสูง เป็นธรรมทายาทผู้มีจิตใจเข้มแข็ง มีความอดทนเป็นเลิศ เป็นบุรุษอาชาไนย พร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลาย
นอกจากนี้ยังทำให้ได้ฝึกสมาธิ ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากขึ้น เอาบุญให้ตัวเอง ที่ผ่านมาอาจเคยทำผิดพลาดมาเยอะ น่าจะหาโอกาสทำความดีบ้าง

6.เราก็ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว เรียนหนังสือมาก็มาก มีงานดี ๆ ทำ ทำไมต้องมาบวช

ธรรมทายาทมีสโลแกนว่า “บัณฑิต มิใช่เพียงผู้มีปริญญา แต่คือผู้อุดมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา” การศึกษานั้นมี ๒ อย่าง คือ การศึกษาทางโลก และการศึกษาทางธรรม
วิชาทางโลกเรียนเพื่อเป้าหมายเลี้ยงชีวิต วิชาทางธรรมเรียนเพื่อเป้าหมายชีวิต
ถ้ามีครบถ้วนทั้ง ๒ ประการ ก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อการดำเนินชีวิต

7.บวชแค่ไม่กี่วัน จะได้ประโยชน์อะไร

อย่างน้อยก็ได้บุญ และได้อุปนิสัยในการบวชติดตัวไป ใครมีเวลาน้อยก็บวชช่วงสั้น ถ้ามีเวลามากอยากบวชต่อก็บวชได้   พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เวลาของบัณฑิตที่ตั้งใจฝึกตัวนั้น แม้เพียง ๑ วันก็มีค่ามหาศาล

8. บวชแล้วคุ้มไหมกับการเสียเวลา

คุ้มสิ การบวชเป็นการลงทุนข้ามชาติเลยนะ การลงทุนอะไรในโลกไม่เท่ากับการลงทุนสร้างบุญกุศล ซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่เพียงแต่ได้ประโยชน์ในชาตินี้เท่านั้น แต่ยังได้ประโยชน์ข้ามภพข้ามชาติ ไม่มีการลงทุนอะไรจะคุ้มมากมายอย่างนี้อีกแล้ว
พระภิกษุธรรมทายาทไม่ได้บวชแล้วนั่งๆ นอนๆ แต่บวชแล้วปฏิบัติ  ศึกษาธรรมะ นั่งสมาธิ ทำกิจของสงฆ์ บวชทั้งกายและใจ เพื่ออบรมตนให้เปี่ยมล้นด้วยศีล สมาธิ ปัญญา การบวชอย่างนี้ได้บุญมากมาย ข้ามภพข้ามชาติ แม้สึกกลับไปครองเพศฆราวาส ก็ยังมีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ดีงาม มีความรู้ คู่คุณธรรม พร้อมที่จะนำประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง

9.บวชเป็นทีมดีอย่างไร

การบวชเป็นทีมจะเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน มีอิทธิพลต่อกันและกัน ทำให้อยากทำความดียิ่ง ๆ ขึ้น เพราะเมื่อเห็นคนอื่นทำความดีได้ ก็จะเกิดกำลังใจว่า เราก็จะต้องทำได้เช่นกัน
นอกจากนี้ การบวชเป็นทีมยังทำให้เราได้ฝึกการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ และได้เพื่อนกัลยาณมิตรใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งการได้คบคนดีนี้ ถือเป็นมงคลอย่างยิ่ง จัดเป็นหนึ่งในมงคล ๓๘ ประการในพระพุทธศาสนา

10.ที่บอกว่า “ธรรมทายาทสืบชาติ สืบศาสนา” นั้น สืบศาสนาพอเข้าใจ แต่สืบ
ชาติหมายถึงอะไร การนั่งหลับตาไม่น่าจะช่วยใครได้ น่าจะเป็นการเห็นแก่ตัวด้วยซ้ำ

ปัญหาของประเทศชาติ บางคนอาจมองว่าเป็นปัญหาความยากจน ปัญหาสิ่งแวดล้อม ฯลฯ แต่จริง ๆ แล้ว เป็นปัญหาเรื่อง “คน” คนที่ว่านี้ ก็คือ พวกเรา ๆ นี้แหละ คนที่มีความรู้ความสามารถแล้วนำไปใช้ในทางที่ผิด ความรู้เปรียบเหมือนดาบสองคม ถ้าไม่มีคุณธรรมก็เหมือนดาบไม่มีฝัก แม้จะมีประโยชน์ แต่อาจบาดตัวเองและคนอื่นได้
การบวชทำให้ได้ฝึกคุณธรรม ให้รู้อะไรดี อะไรชั่ว อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ

11.กลัวว่าบวชแล้วจะทำให้ศาสนาเสื่อม

ถ้าศาสนาจะเสื่อม ก็คงไม่ได้เสื่อมเพราะคนที่มีข้อบกพร่องแล้วมาบวชหรอก แต่จะเสื่อมก็เพราะคนที่มีข้อบกพร่องแล้วไม่แก้ไข กลับละทิ้ง เพิกเฉยต่อหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงสอนให้เราละชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส คนที่เพิกเฉยต่อคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่แหละที่จะทำให้ศาสนาเสื่อม

12.ทำไมต้องชวนคนมาบวชเยอะแยะ

การจะฟื้นฟูศีลธรรมโลกให้เกิดขึ้นในสังคมได้ การบวชรูป ๒ รูป คงไม่ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ ต้องบวชกันเยอะ ๆ จะได้มีคนดี ๆ หลาย ๆ คน มาช่วยกันฟื้นฟูศีลธรรมโลก

13.คนบวชกันเยอะแล้ว ไม่ต้องบวชก็ได้ ถ้ามาบวชกันหมดทั้งโลกแล้วจะเป็นอย่างไร

เรื่องการบวชนั้น ใครบวชคนนั้นก็ได้ประโยชน์ ไม่บวชก็ไม่ได้
ส่วนเรื่องออกบวชกันทั้งโลก ก็เป็นไปได้ยาก อย่างตัวคุณเองจะบวชหรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่บวช ก็ยังเหลือคุณอีกคนหนึ่ง ยังไม่หมดทั้งโลก

14.การชวนคนมาบวชเยอะๆ ขนาดนี้ ต้องการสร้างภาพใช่ไหม

ใช่!  ต้องการสร้างภาพแห่งความดีให้เกิดขึ้นในสังคม จะได้เป็นต้นแบบแก่สังคม ให้เห็นว่าคนที่อยากเป็นคนดียังมีอีกมาก ผู้บวชจะได้เป็นต้นบุญต้นแบบแห่งความดีให้คนอื่น ๆ แล้วกระแสแห่งความดีงามก็จะแผ่ขยายไปสู่สังคม ประเทศชาติ และโลกของเราได้ในที่สุด ยิ่งมีคนมาบวชมากเท่าไร ความดีงามก็จะบังเกิดมากขึ้น และเร็วขึ้น

15.อยากบวชกับวัดที่มีคนน้อยๆ คนบวชมากๆ ไม่สงบหรอก

หลักสูตรการอบรมโครงการนี้ แม้คนเยอะก็จริง แต่มีความพร้อมในหลายๆ ด้าน เนื่องจากมีประสบการณ์ในการอบรมธรรมทายาทมาเป็นเวลา ๓๐ กว่าปี มีธรรมทายาทผ่านการอบรมไปแล้วกว่า ๔๐,๐๐๐ คน หลักสูตรการอบรมก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น แม้มีคนมาก ก็สามารถฝึกตนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีปัจจัยต่างๆ ที่เอื้อต่อการฝึกฝนตนเอง  เช่น สถานที่ปฏิบัติธรรมที่มีความพร้อมทุกด้าน พระอาจารย์มีประสบการณ์ และอุทิศเวลาอบรมเราอย่างเต็มที่ ธรรมทายาทจะได้ฝึกฝนตนเองตามพระวินัย เพื่อตอกย้ำความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนาทั้งทางด้านปริยัติและปฏิบัติ นอกจากนี้การมีกัลยาณมิตร มีคนดีๆ มาบวชด้วยกัน จะช่วยประคับประคองกัน แนะนำสิ่งดีๆ ให้แก่กัน

16.อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ชีวิตความเป็นอยู่ในการอบรมเป็นอย่างไร? ทำอะไรบ้าง? จะ

ได้เป็นข้อมูลการตัดสินใจ
ลองไปดูหนังสือ หรือวิซีดีธรรมทายาทได้เลย แล้วเราจะเข้าใจคำว่าธรรมทายาทมากขึ้น อ่านจบดูจบ อาจจะขอกรอกใบสมัครเลยก็ได้

17.ทำไมการบวชธรรมทายาทต้องมีการอบรมก่อน บวชเลยไม่ได้หรือ?

ที่ต้องอบรมก่อนมีเหตุผล ๒ ประการ คือ
๒.๑ การที่เราใช้ชีวิตในแต่ละวัน ศีล ๕ เราแทบจะไม่ได้ปฏิบัติ บางคนยังดื่มเหล้า ยังโกหกอยู่ ถ้าจะไปถือศีล ๒๒๗ ข้อ จะไหวหรือ? บวชแล้วจะเป็นพระที่ดีได้อย่างไร? การมีโอกาสบวช และตัดสินใจบวชว่ายากแล้ว แต่การบวชแล้วเป็นพระที่ดียากยิ่งกว่า
๒.๒ เมื่อบวชเป็นพระแล้ว เรามีคุณธรรมเพียงพอแล้วหรือยังที่จะทำให้พ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรา
มากราบเรา หรือว่าแค่ห่มผ้าเหลืองก็มีคุณธรรมมากพอแล้ว
การมีเวลาสักช่วงหนึ่งนั่งสมาธิให้ใจสะอาด ได้ศึกษาธรรมะให้รู้ซึ้งถึงพระคุณพ่อแม่ เมื่อถึงวันที่เราไปขอขมา รับผ้าไตรจากมือท่าน ได้กราบท่าน แล้วเราจะซาบซึ้ง และเมื่อเป็นพระแล้ว ก็จะเป็นพระที่ญาติโยมกราบได้สนิทใจ

18.ไปอบรมแล้วต้องอดข้าวเย็นด้วย กลัวทนไมได้

พอเข้าอบรมแล้ว อาทิตย์แรกอาจจะไม่ชิน อาทิตย์ถัดไปจะชินเอง และทุกคนก็ถือศีล ๘ เหมือนกัน ต่างคนต่างไม่ทานข้าวเย็น เราก็จะเฉย ๆ แล้วเราก็ไม่ได้ใช้พลังงานมาก เพราะฉะนั้นอาหาร ๒ มื้อ เหลือเฟือ ตอนเย็นมีน้ำปานะให้ดื่มด้วย เช่น น้ำเต้าหู้ น้ำลำไย น้ำเก๊กฮวย บางคนจบการอบรมแล้วน้ำหนักเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ

19.รู้สึกเขิน ๆ อย่างไรไม่รู้ อย่างเราจะบวชได้หรือ?

ได้สิ ไม่ต้องเขินหรอก คนเราจะดีได้จะเก่งได้ ต้องกล้าเปลี่ยนแปลง กล้าแก้ไข บางครั้งเรื่องไม่ดี เรายังทำโดยไม่ลังเลเลย กับเรื่องที่ดี ๆ ทำไมต้องเขินต้องอายด้วย

20.ติดเหล้า เบียร์ บุหรี่

ทางโครงการเปิดโอกาสให้เข้าอบรมได้ แต่ต้องปฏิบัติตามระเบียบของโครงการ คือ งดเหล้า เบียร์ บุหรี่ ในขณะอบรม ถ้าใครไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ก็ต้องออกจากโครงการไปก่อน ถ้าเลิกได้แล้วจะกลับมาอบรมโครงการต่อไปก็ได้
ที่ผ่านๆ มา หลายๆ ท่าน สามารถทำตามระเบียบได้เป็นอย่างดี เมื่อสึกไปแล้วก็เลิกเหล้า เบียร์ บุหรี่ ได้เลย

21.ติดเพื่อน

เราเกิดมาเพื่อตัวเอง ไม่ได้เกิดมาเพื่อเพื่อน  เวลาเราตายที่ช่วยได้จริงๆ คือ บุญ ถ้าเป็นเพื่อนรักกันจริงก็ชวนมาบวชด้วยกันเลย จะได้เป็นกัลยาณมิตรให้กันตลอดไป

22.บวชแล้วฟังเพลงไม่ได้ ดูหนังไม่ได้

ดูหนังฟังเพลง จะดูเมื่อไรก็ได้ จะฟังเมื่อไรก็ได้ แต่โอกาสที่จะดูตัวเองมีไม่มาก เราดูเรื่องคนอื่น ฟังเรื่องคนอื่นมามากแล้ว หันกลับมาดูตัวเองดีกว่า เมื่อดูตัวเองแล้วก็จะรู้จักตัวเองมากขึ้น เมื่อเข้าใจตัวเองแล้ว ก็จะเข้าใจคนอื่นมากขึ้น ทำให้ใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข จะทำให้เป็นที่รัก และได้รับการยอมรับนับถือจากผู้อื่น ซึ่งจะมีผลดีต่อการครองชีวิตและหน้าที่การทำงาน

23.ไม่อยากลำบาก  ไม่อยากมีกฎเกณฑ์

อยู่ที่ไหนก็ต้องมีกฎเกณฑ์ทั้งนั้น แต่มาบวชทำให้เราฝึกระเบียบวินัย ฝึกนิสัยดีๆ ติดตัวไป  คราวนี้จะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ลำบากแล้ว

24.อยากบวชเหมือนกัน แต่พ่อแม่ไม่ให้ ทำอย่างไรดี?

ท่านอาจจะยังไม่เข้าใจว่า การบวชมีประโยชน์ต่อตัวเราอย่างไร เป็นหน้าที่ที่เราต้องชี้แจงให้ท่านทราบ อาจจะเอาหนังสือหรือวีซีดีธรรมทายาทให้ท่านดูก็ได้ ให้ท่านเห็นภาพว่าเป็นอย่างไร แล้วลองขอท่านใหม่ ท่านจะใจอ่อนเอง เพราะพ่อแม่ทุกคนรักลูก อยากให้ลูกได้ดี สิ่งที่เราจะทำก็เป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์  มีหลายคนที่พ่อแม่ก็ไม่ค่อยยินดีในการอบรมของลูก แต่พอถึงวันบวชยกขบวนมาทั้งครอบครัว ดีใจกันจนน้ำตาไหล

25.อยากบวชเหมือนกัน แต่เสียดายผม

เรื่องเส้นผม สั้นแล้วไม่กี่เดือนก็ยาว แต่ชีวิตของเราที่ล่วงเลยผ่านไป ไม่สามารถย้อนกลับมาได้ มีแต่จะสั้นลงทุกวัน ถ้าเราได้ศึกษาธรรมะ แก้ไขข้อบกพร่องของตัวเรา เพื่ออนาคตของเราต่อไปอีกหลายสิบปี และเพื่อพ่อแม่ที่เรารัก มันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

26.อยากบวช แต่ที่ทำงานไม่ให้ลา

ก็ต้องทำความดีให้มากๆ ทำความดีเพิ่มขึ้น เพื่อเราจะได้ขออนุญาตมาบวชได้ ถ้าเราทำความดีเท่าเดิมก็คงไม่มีสิทธิ์เหมือนเดิม ต้องทำความดีเป็นพิเศษ จึงจะขอสิ่งที่พิเศษได้ ก็ต้องพยายามดู

27.อยากบวช แต่เป็นห่วงทางบ้าน

เราไม่ได้บวชนาน แค่บวชระยะสั้น ไม่น่าจะกระทบกระเทือนทางบ้านมากมาย เมื่อเรามาบวชแล้ว ปัญหาที่เจออยู่อาจจะคลี่คลายไปได้ เพราะการได้ศึกษาธรรมะ การนั่งสมาธิ จะทำให้เราเกิดปัญญาที่จะหาทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ลุล่วงไปได้ และที่สำคัญเรายังได้เพิ่มพูนบุญบารมีให้มากขึ้นอีกด้วย ใครมีบุญมากอุปสรรคก็น้อย ใครมีบุญน้อยอุปสรรคก็มาก มาบวชเถอะ บุญบวชไม่ใช่บุญเล็กบุญน้อย ให้บุญนี้ช่วยดึงดูดสิ่งดีๆ ให้เข้ามาในชีวิตของเรา

28.มีกิจทางโลก ไม่มีคนแทน 

นี่เป็นการวางแผนที่ดีมาก หากเราตายไปวันพรุ่งนี้ แล้ว เราจะให้ทำหน้าที่ แทนเราในตำแหน่งต่างๆ
ได้ประโยชน์คืองฝึกคนที่อยู่ข้างหลังเราให้รับหน้าที่แทนได้ ซึ่งเป็นระยะเวลานึงเท่านั่นเอง ถ้าตายจากกันไปจริง
คงต้องรับตลอดชีวิต

29.สุขภาพไม่แข็งแรง  คุกเข่านานไม่ได้

ถ้าหากเราป่วยจริง ก็ต้องรักษาให้หายก่อน แต่ถ้าเป็นเพราะไม่อดทน กลัวลำบาก อย่างนี้ต่อไปเราจะทำอะไรได้ ชีวิตยังมีอะไรยาก ๆ ที่จะต้องเผชิญอีกมากมายกว่านี้หลายเท่า
ที่ผ่านมา คนอายุ ๖๐ ปี ๗๐ ปี ก็ยังบวชได้ สุขภาพของเราแย่กว่าคนอายุ ๖๐ – ๗๐ ปี เลยหรือ

30.เวลาในการอบรมนานไป อยากบวชสักอาทิตย์หนึ่งก็พอ

ไม่นานหรอก สำหรับการทำความดี การบวชแค่ไม่กี่วัน ไม่นานเลยเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่เราจะได้ไปตลอดชีวิต
ลองให้เวลากับการบวชสักระยะหนึ่ง แล้วเราจะได้หลักในการดำเนินชีวิตไปตลอด คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

31.บวชธรรมทายาทกับบวชที่วัดบ้านเกิด อย่างไหนดีกว่ากัน?

ไม่สามารถบอกได้ว่าการอบรมธรรมทายาทดีที่สุด บอกได้แต่เพียงว่า ผู้อบรมจะได้ฝึกฝนตนเอง ได้เรียนรู้ และได้รับสิ่งดี ๆ มากมาย บางสิ่งบางอย่างก็ยากที่จะอธิบายด้วยคำพูด นอกจากจะลงมือปฏิบัติเอง
ปัจจัยที่ทำให้การศึกษาธรรมะเป็นไปได้ด้วยดี คือ ผู้บวชตั้งใจจริง สถานที่ปฏิบัติธรรมมีความพร้อม และมีพระอาจารย์ที่ดี มีประสบการณ์ มีเวลาสั่งสอนเราอย่างเต็มที่ ถ้าปัจจัยเหล่านี้พร้อม บวชที่ไหนคงไม่ต่างกันมาก

32.เคยบวชแล้ว โบราณเขาถือ บวชหลายครั้งไม่ดี

ใครเคยบวชเรียนมาแล้ว ก็บวชได้อีก เพราะผู้ที่มีคุณสมบัติสมบูรณ์พร้อมตามพระธรรมวินัยนั้น จะบวชกี่ครั้งก็ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามิได้ทรงห้าม
ในครั้งพุทธกาล มีพระอรหันต์รูปหนึ่งชื่อพระจิตตหัตถ์ ท่านเคยบวชแล้วสึกถึง ๖ ครั้ง ต่อมาท่านมีศรัทธาเข้ามาบวชอีกเป็นครั้งที่ ๗  ครั้งนี้บุญกุศลของท่านเต็มเปี่ยม ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
ใครอยากได้บุญบารมีเพิ่มเติม ก็มาบวชได้อีก

33.คราวหน้าค่อยบวช ตอนนี้ไม่สะดวก

คราวหน้าจะได้บวชจริงหรือ ไม่บวชตอนนี้อาจพลาดโอกาสไปอีกหลายปี หรืออาจไม่ได้บวชเลยก็ได้
มีศรัทธาเมื่อไรควรรีบบวช หนทางข้างหน้าไม่มีอะไรแน่นอน ยิ่งบวชเร็ว ก็ยิ่งได้ประโยชน์เร็ว
ความพร้อมไม่มีในโลก ถ้าพอมีเวลา แม้ยังไม่พร้อม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ควรตัดสินใจบวชเลย  ไม่ต้องรออีก

34.บวชเมื่อไรก็เหมือนกัน เอาไว้พร้อมแล้วค่อยบวชก็ได้

ไม่มีใครรับรองได้ว่าเราจะมีชีวิตยืนยาวแค่ไหน ยิ่งพ่อแม่ของเรา ท่านก็อายุมากแล้ว ก็ไม่แน่ว่าใครจะไปก่อนใคร ถ้าบวชได้ ก็บวชตอนนี้
เลย ไม่ควรประมาท

35.กลัวโดนล้างสมอง

ทางโครงการสอนแต่สิ่งที่ดี ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนที่มาบวช
ส่วนใหญ่ก็มีการศึกษา พิจารณาได้ว่าอะไรถูก อะไรไม่ถูก  เรื่องนี้ต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง

36.ได้ยินข่าวไม่ดีเกี่ยวกับพระเยอะ รู้สึกไม่ดี เสื่อมศรัทธา ไม่อยากบวช

พระดี ๆ มีเยอะแยะ ประเทศไทยมีพระ ๓๐๐,๐๐๐ กว่ารูป ที่ได้ยินข่าวไม่ดีมีกี่รูป คิดเป็น
เปอร์เซ็นต์แล้วน้อยมาก
ถ้าเรามาบวชแล้วปฏิบัติตนเป็นพระที่ดีตามพระธรรมวินัย ก็จะช่วยเพิ่มจำนวนพระดี ๆ ใน
พระพุทธศาสนาให้มากยิ่งขึ้น

37.การบวชที่บอกว่าทดเทนพระคุณพ่อแม่ได้นั้น ทดแทนอย่างไร?

บางคนเข้าใจว่า ถ้าสามารถหาเงินเลี้ยงดูพ่อแม่ได้เดือนละหมื่น สองหมื่น เพียงเท่านี้ก็เป็นการตอบแทนท่านแล้ว แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยตรัสว่า แม้คนเราจะมีอำนาจสถาปนาพ่อเป็นจักรพรรดิ สถาปนาแม่เป็นจักรพรรดินี แล้วให้ครองราชย์อยู่ตลอด ๑๐๐ ปี ๑,๐๐๐ ปี ก็ยังแทนคุณท่านไม่หมด เพราะอำนาจหรือทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ มีเพียงบุญกุศลเท่านั้นที่จะติดตัวไป
การตอบแทนได้อย่างแท้จริง คือ การที่เราสามารถชักชวนท่านมาทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ทำจิตใจให้ผ่องใส ให้บุญกุศลติดตัวท่านไป แต่ก็ต้องเริ่มต้นที่ตัวเราก่อน จะได้ชักชวนท่านได้
นอกจากนี้การบวชยังเป็นการทำตัวเราให้บริสุทธิ์ ให้เป็นกุศล ซึ่งพ่อแม่ก็จะพลอยได้บุญกับเราด้วย เพราะความดีทุกอย่างที่เราทำล้วนแต่มีพ่อแม่เป็นต้นทุนทั้งนั้น เพราะท่านให้กำเนิดเรามา
ที่โบราณบอกว่าพ่อแม่จะได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ ก็เพราะว่า เวลาจะละโลก ท่าน
อาจจะนึกถึงบุญกุศลอะไรไม่ออก แต่นึกถึงงานบวชลูกชายได้ จิตใจของท่านก็จะผ่องใส ทำให้ท่านได้ไปสู่สุคติ การบวชจึงเป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ได้จริง
แม่อุ้มท้องเรามา ๙ เดือน เลี้ยงดู ส่งเสียให้เรามีความรู้ มีอาชีพการงาน ท่านลำบาก
แค่ไหน เราทำให้ท่านเพียงเท่านี้ไม่ใช่เรื่องหนักหนาเลยสำหรับลูกผู้ชาย

38.บวชอย่างไร พ่อแม่จะได้บุญเต็มที่?

ในการบวช พ่อแม่จะได้บุญเต็มที่หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัย ๒ ประการ
๑. พ่อแม่อนุโมทนา คือ ยินดีในการบวชของเรามากน้อยเพียงใด ยินดีมากก็ได้บุญมาก
๒. ตัวเราปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด

39. พี่ชาย (น้องชาย) บวชให้พ่อแม่แล้ว

พี่ชาย (น้องชาย) บวช ก็ดีแล้ว แต่ถ้าเราบวชด้วยพ่อแม่ก็ยิ่งจะได้บุญเพิ่ม ยิ่งมีบุญมากอุปสรรคในชีวิตก็จะน้อย บุญน้อยอุปสรรคก็จะมาก เราไม่อยากให้พ่อแม่มีบุญกุศลเพิ่มพูนขึ้นหรือ ไม่อยากให้ท่านได้บุญเพราะเราบ้างหรือ
การบวชนั้น ผู้ทีได้ประโยชน์มากที่สุดคือผู้บวชเอง ได้ทั้งบุญ ได้ทั้งแนวทางที่ดีงามในการดำเนินชีวิต พี่ชาย (น้องชาย) บวช เขาก็ได้ประโยชน์  เราไม่บวชเราก็ไม่ได้ประโยชน์


คำถามที่1.

ถาม:วัดพระธรรมกายคิดว่า ทำอย่างไร จึงจะทำให้สังคมไทยดีขึ้น
ตอบ:การทำให้สังคมไทยดีขึ้น ต้องมองว่าเป็นหน้าที่ของชาวไทยทุกคน อย่าเกี่ยงให้เป็นหน้าที่ของวัด ของโรงเรียน ของสื่อมวลชน ของรัฐบาล หรือของคนใดคนหนึ่ง แต่จริงๆแล้ว ทุกคน ทุกหน่วยงาน จะต้องช่วยกันทำหน้าที่ของตน ถ้าทุกคนเอาแต่หวัง อยากให้สังคมไทยดี แต่ไม่ได้ลงมือกระทำ สังคมก็คงไม่ดีขึ้นได้ และอย่าเพิ่งไปท้อแท้ใจแต่ต้นว่า เป็นปัญหาใหญ่ ลำพังตัวเราคงแก้ไขอะไรไม่ได้ เลยไม่ยอมทำอะไร ขอให้คิดแล้วลงมือทำอย่างต่อเนื่อง คนดีๆที่เขาเห็นประโยชน์เขาก็จะมาช่วยกัน ถ้าทุกคนคิดแล้วทำอย่างนี้ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ สังคมไทยก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน
ในส่วนของการปลูกฝังศีลธรรมนี้ แน่นอนว่า พระภิกษุสงฆ์และวัดเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ถ้าวัดทั้ง 30,000กว่าวัด พระภิกษุสงฆ์ทั้ง 300,000กว่ารูป ร่วมแรงร่วมใจช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ก็คงเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ศีลธรรมของสังคมดีขึ้น ทำให้ผู้คนมีศีลธรรม มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวประจำจิตใจ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่สังคม
วัดพระธรรมกาย ในฐานะวัดๆหนึ่งในประเทศไทย ก็ได้พยายามทำหน้าที่ของตนในในส่วนนี้อย่างเต็มกำลัง มาตั้งแต่เริ่มสร้างวัด ให้การศึกษาอบรมพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกาของวัด ทั้งในด้านปริยัติและปฏิบัติ และให้ช่วยกันอบรมสั่งสอนศีลธรรมแก่ประชาชน ชักชวนประชาชนเข้าวัด ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา จัดกิจกรรมการปลูกฝังคุณธรรม ทั้งในและนอกสถานที่มากมายหลายอย่าง ดังที่ได้เห็นในภาพกิจกรรมต่างๆของวัดพระธรรมกาย
ผลของการทุ่มเท อุทิศชีวิตทำงานอย่างจริงจังมาตลอด 35ปี วัดพระธรรมกายก็ทำงานได้ผลในระดับหนึ่ง มีประชาชนสนใจเข้าร่วมกิจกรรมอบรมคุณธรรมจำนวนมาก แต่ทางวัดตระหนักดีว่า การปลูกฝังคุณธรรมแก่ประชาชนทั้งแผ่นดิน เป็นงานใหญ่ ต้องให้วัดทุกวัดในประเทศไทยร่วมแรงร่วมใจช่วยกัน

ดังนั้น วัดพระธรรมกายจึงได้เชิญชวน ให้มาร่วมกันสร้างกระแสของการทำความดีให้เกิดขึ้น โดยในวันสำคัญทางศาสนา ได้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์ครั้งละเป็นจำนวนพันจากทั่วประเทศ มาอยู่ธุดงค์ปฏิบัติธรรม รับฟังโอวาทจากพระเถระผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ โดยได้มาทำเป็นเวลา 19ปีเต็ม เพราะมุ่งหวังตั้งใจว่า พระทุกรูปจะได้เป็นเนื้อนาบุญให้กับสาธุชนที่มาร่วมงาน
เมื่อพระทุกรูปได้เห็นกิจกรรมทั้งหมดแล้ว จะได้เกิดความเชื่อมั่นว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของดีจริง ถ้าตั้งใจศึกษาและเผยแผ่อย่างจริงจังแล้ว ประชาชนจะให้ความสนใจ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัย มหรสพ ดนตรี คอนเสิร์ต ภาพยนตร์ มารวมคน เพราะการเทศนาธรรมและสอนทำสมาธิ ก็สามารถรวมชาวพุทธได้
พระภิกษุรูปใดต้องการทราบ วิธีการทำงานของวัดพระธรรมกาย ก็จะได้รับการถ่ายทอดให้อย่างเต็มที่ เพราะหวังว่า ท่านจะได้กลับไปพัฒนาวัดและท้องถิ่นของตน เมื่อทุกวัดในประเทศไทย ร่วมแรงร่วมใจกันทำงานอย่างนี้ วัดก็จะเป็นที่พึ่งของชาวพุทธได้อย่างแท้จริง พระพุทธศาสนาก็จะเจริญขึ้น สังคมไทยเราก็จะดีขึ้น


คำถามที่2.

ถาม:เคล็ดลับความสำเร็จของวัดพระธรรมกายคืออะไร ทำไมจึงมีประชาชนเลื่อมใส ศรัทธาเข้าวัด ปฏิบัติธรรมกันมาก
ตอบ:เงื่อนไขที่ทำให้วัดพระธรรมกายทำงานด้านการอบรมศีลธรรม ได้ผลมาบ้างในระดับหนึ่งนั้น อาจสรุปได้ 4ประเด็นดังนี้
1.มีอุดมการณ์ตั้งแต่เริ่มสร้างวัด พระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) ท่านเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และหมู่คณะรุ่นบุกเบิกได้ตั้งปณิธานร่วมกันไว้ว่า จะสร้างพระให้เป็นพระ สร้างวัดให้เป็นวัด เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับ สร้างคนให้เป็นคนดีของสังคม พระทุกรูปบวช เพราะมีความตระหนักซาบซึ้งในคุณของพระรัตนตรัย และเมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจบวชอุทิศชีวิตให้พระพุทธศาสนา ไม่คิดลาสิกขา หมู่คณะที่ตามมาในรุ่นหลังๆก็มีอุดมการณ์ในทำนองเดียวกัน
ปัจจุบันวัดพระธรรมกาย มีบุคลากร ประจำ คือ พระภิกษุ สามเณร จำนวนพันเศษ อุบาสก อุบาสิกา ศิษย์วัด ประมาณ 700คน คนเกือบ 2,000คน ที่มีอุดมการณ์เหมือนกัน ที่จะสร้างคนดีให้กับสังคม ทุ่มเททำงาน สัปดาห์ละ 7วัน โดยไม่มีวันหยุด เมื่อรวมกับกำลังของญาติโยม สาธุชน ที่มีศรัทธา เห็นประโยชน์ เห็นความตั้งใจจริงของวัดพระธรรมกายแล้ว ก็สามารถทำงานได้มาก

2.ทำงานจริง พัฒนางานตลอด เมื่อเริ่มสร้างวัด เมื่อ 35ปีก่อนโน้น หมู่คณะรุ่นบุกเบิกเป็นพระหนุ่ม คนหนุ่ม ส่วนใหญ่มีอายุเพียง 20ปีเศษ ยังมีประสบการณ์น้อย แต่มีความตั้งใจมุ่งมั่นจริงจัง ที่จะปฏิบัติฝึกฝนตนเอง และเผยแผ่ธรรมะ ก็ทำงานมาแบบลองผิดลองถูก ทำไปแล้วผลไม่เป็นอย่างที่คิดก็มาก แต่ก็ไม่ท้อถอย พยายามสรุปผล และปรับปรุงพัฒนางานมาโดยตลอด เรียนรู้จากการทำงานจริง ประสบการณ์เป็นตัวสอนเราให้สามารถพัฒนางานให้ดีขึ้น สมบูรณ์ขึ้น โดยมีคติในการทำงานของวัดอยู่ว่า ไม่ได้ไม่มี ไม่ดีไม่ได้ ต้องได้และดี ให้ดีกว่าดีที่สุด โดยเราถือว่าการทำงานของพระพุทธศาสนาให้ดี เป็นแบบอย่างได้นั้น เป็นการแสดงถึงความเคารพในพระรัตนตรัยอย่างหนึ่ง

3.เปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นของทุกคน ตั้งแต่เริ่มสร้างวัด เนื่องจากประสบการณ์ของเรามีน้อย จึงพยายามไปศึกษาจากวัดต่างๆ ที่ตั้งมานานแล้วทั้ง 70กว่าจังหวัดในยุคนั้น หมู่คณะรุ่นบุกเบิกเดินทางไปดูมาเกือบทั่วทุกจังหวัด ยกเว้นแม่ฮ่องสอนจังหวัดเดียว เพราะการคมนาคมไม่สะดวก ที่ไหนได้ยินเสียงเล่าลือว่าดีอะไร ก็ไปดูไปศึกษามาหมด พยายามศึกษารวบรวมข้อดีของวัดต่างๆ มาเป็นแบบอย่างในการสร้างวัด ติดปัญหาอะไรก็มักไปกราบขอคำแนะนำจากพระเถระผู้ใหญ่หลายๆรูป ซึ่งท่านเห็นความตั้งใจจริง ในการทำงาน ท่านก็เมตตาแนะนำสั่งสอนมาโดยตลอด
ปัจจุบัน แม้งานของวัดจะพัฒนามาได้ในระดับหนึ่ง แต่ทางวัดก็ยังคงเปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นในการทำงานจากทุกฝ่ายเสมอมา แม้ญาติโยมสาธุชนที่มาวัด ใครมีความสามารถด้านใด มีความเชี่ยวชาญ มีความเห็นอย่างไร ทางวัดก็รับฟังและขอให้มาช่วยกันทำงาน พัฒนางานไป ความสำเร็จของวัดพระธรรมกายในปัจจุบัน จึงมาจากการร่วมแรงร่วมใจ รวมสติปัญญาความสามารถของบุคคลต่างๆจำนวนมาก
4.ทำงานเป็นทีมไม่ยึดติดตัวบุคคล จะสังเกตเห็นว่า วัดต่างๆที่มีชื่อเสียงมากขึ้นมา ส่วนใหญ่มักเป็นเพราะมีเจ้าอาวาสเป็นพระภิกษุที่ได้รับความเลื่อมใสจากประชาชน ประชาชนจะรู้จักพระมากกว่ารู้จักวัด พูดง่ายๆว่า หลวงพ่อดัง มากกว่าวัดดัง เมื่อพระภิกษุที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธานั้นมรณภาพไป วัดนั้นก็ซบเซาไป บางทีเกือบกลายเป็นวัดร้างไปเลยก็มี
แต่วัดพระธรรมกาย เน้นการทำงานเป็นทีม มีคณะกรรมการชุดต่างๆ ขึ้นมาช่วยกลั่นกรองงาน ก่อนที่จะถึงการตัดสินใจของเจ้าอาวาสในขั้นสุดท้าย มีการกระจายการทำงานเป็นระบบ ทำให้สามารถทำงานได้กว้างขวาง มีประสิทธิภาพ ทุกคนสามารถใช้ศักยภาพของตนเอง ในการทำงานได้อย่างเต็มที่ เราพยายามสร้างระบบงาน ไม่ยึดติดตัวบุคคล เพื่อว่าแม้เจ้าอาวาสและหมู่คณะรุ่นบุกเบิกละโลกไปแล้ว ระบบงานต่างๆก็ยังอยู่ และวัดก็ยังคงทำหน้าที่เผยแผ่คุณธรรมแก่ประชาชนได้ตลอดไป
ด้วยเหตุนี้เอง จะเห็นได้ว่า สำหรับวัดพระธรรมกายแล้ว ประชาชนจะรู้จักชื่อวัดมากกว่า ชื่อเจ้าอาวาส คือ วัดดัง มากกว่าหลวงพ่อดัง


คำถามที่3.

ถาม:ทำไมจึงมีเสียงติติงการทำงานของวัดพระธรรมกาย
ตอบ:ที่ใดก็ตามที่มีการทำอะไรใหม่ๆเกิดขึ้น ก็ย่อมจะมีทั้งคนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย มีเสียงติติงเสมอ เพราะผู้ที่ยึดติดอยู่ในรูปแบบเดิมๆ ย่อมมีอยู่ โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน เป็นการทำเพื่อคนหมู่มาก ย่อมเป็นที่สนใจ เสียงติติงก็อาจมีมากเป็นธรรมดา เป็นหน้าที่ของผู้ที่ตั้งใจทำงานเพื่อส่วนรวม จะต้องรับฟังแล้วนำมาพิจารณาด้วยใจที่เปิดกว้างว่า ที่ตนทำอยู่อย่างนั้นบกพร่องจริงหรือไม่ หากพบว่าจริงก็ให้ปรับปรุงแก้ไขเสีย หากพบว่าเสียงติติงนั้นไม่เป็นความจริง เกิดจากความไม่เข้าใจ ก็ต้องพยายามให้มีข้อมูลความจริงให้เขาได้ทราบ
อีกทั้งบางครั้งก็อาจเป็นได้ว่า เสียงติติงนั้นอาจเกิดจาก ผู้ที่มีใจไม่เป็นกุศล อาจด้วยความอิจฉาริษยา ความหมั่นไส้ หวาดระแวง หรือเสียผลประโยชน์ ก็ตามแต่ ก็จะต้องอดทน เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่ตนทำอยู่ปรากฏผลชัดขึ้น ความจริงก็จะปรากฏออกมาเอง
อย่าว่าแต่เราสามัญชนเลย แม้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งพระองค์มีพระดำริ จะสร้างสวนลุมพินีเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน ก็ยังมีเสียงติติงว่า ทำไมใหญ่โต ไม่มีความจำเป็น แต่ปัจจุบัน ทุกคนต่างก็ตระหนักซาบซึ้ง ในพระวิจารณญาณที่กว้างไกลของพระองค์กันถ้วนหน้า
หรืออย่างพระเดชพระคุณหลวงพ่อพุทธทาส ท่านเป็นผู้ริเริ่มการแสดงปาฐกถาธรรมโดยไม่ถือใบลาน ช่วงแรกๆก็ถูกต่อต้านมาก แต่ต่อมาทุกคนก็ยอมรับ
แม้ในทางโลก เมื่อคุณสมหมาย ฮุนตระกูล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศลดค่าเงินบาท เมื่อปีพุทธศักราช 2527 ช่วงแรกก็มีผู้โจมตี ด่าว่ากันอย่างสาดเสียเทเสียมากมาย แต่ต่อมาทุกคนก็ประจักษ์ชัดในคุณูปการที่ท่านสร้างไว้แก่แผ่นดินไทย หนังสือที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพของท่าน จึงมีจดหมายขอโทษจากบุคคลต่างๆ ที่เคยเข้าใจผิดมากมาย
ผู้ที่คิดจะทำประโยชน์เพื่อชนหมู่มาก จึงต้องเตรียมใจไว้แต่ต้น และต้องอดทน ขอให้พวกเราชาวพุทธ คลายความยึดมั่นถือมั่น ความยึดติดในรูปแบบเก่าๆ เราต้องใช้ความเคารพรักในการรักษาธรรมเนียม แต่ก็ให้ถือแก่นเป็นหลักมากกว่าติดที่เปลือกกระพี้ คือ หาทางปรับปรุงรูปแบบ วิธีการเผยแผ่ธรรมะ ปลูกฝังศีลธรรมในใจคนให้ได้ผล ให้คนในยุคปัจจุบันรับได้เข้าใจได้ โดยรักษาแก่นคำสอนในพระพุทธศาสนาไว้อย่างมั่นคง


คำถามที่4.
ถาม:ทำไมต้องก่อสร้างศาสนสถานใหญ่ๆด้วย พระพุทธศาสนาสอนให้สมถะ ทำอะไรเล็กๆไม่ใช่หรือ

ตอบ:เราชาวพุทธเป็นลูกพระพุทธเจ้า การทำงานก็ควรดูแบบอย่างจากพระองค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำอย่างไร จึงประดิษฐานพระพุทธศาสนาได้อย่างมั่นคง เป็นปึกแผ่นสืบทอดมาถึงเราได้ถึง 2,500กว่าปีแล้ว

ในแง่ศาสนสถาน เราพบว่า วัดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่นานที่สุดถึง 20กว่าพรรษา คือ พระเชตวันมหาวิหาร ซึ่งอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย สิ้นทรัพย์ถึง 54โกฏิกหาปณะ คือ เท่ากับ 540ล้านกหาปณะ ซึ่ง 1กหาปณะนั้น เทียบค่าของเงินปัจจุบันแล้ว มีค่ามากกว่าดอลลาร์หลายเท่า ดังนั้นเมื่อเทียบค่าเงินปัจจุบัน การสร้างวัดพระเชตวันมหาวิหาร จึงสิ้นค่าใช้จ่ายหลายหมื่นล้านบาท อาจถึงแสนล้านบาท และพระเชตวันมหาวิหารนี่เอง ที่เป็นฐานที่มั่นสำคัญในการวางรากฐานการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ให้ขยายออกไปอย่างกว้างขวางในครั้งพุทธกาล และสืบทอดมาถึงเราในปัจจุบัน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้พระภิกษุเป็นผู้อยู่ง่ายเลี้ยงง่าย ตั้งใจปฏิบัติธรรม ฝึกฝนอบรมตนเอง แต่ในแง่ศาสนสถาน การสร้างวัดซึ่งเป็นสถานที่เผยแผ่ธรรมแก่ประชาชนแล้ว พระองค์กลับทรงชื่นชมอนุโมทนา สนับสนุนการสร้างวัดใหญ่ๆจำนวนมาก นอกจาก เชตวันมหาวิหารแล้ว ก็ยังมีอีกมากมาย เช่น วัดบุพพาราม ซึ่งนางวิสาขามหาอุบาสิกาสร้างถวาย เป็นโลหะปราสาท สิ้นทรัพย์นับเป็นค่าเงินเป็นหมื่นๆล้านบาทเช่นกัน พระองค์ถึงขนาดทรงให้พระมหาโมคคัลลนะ อัครสาวกเบื้องซ้าย ไปเป็นผู้ดูแลการก่อสร้างตามคำของนางวิสาขา เพราะวัดใหญ่ๆ เมื่อสร้างขึ้นโดยมีการใช้ประโยชน์จริง ก็จะสามารถรองรับ ประชาชนได้เป็นจำนวนมาก นับว่าเป็นประโยชน์ต่อคนทั้งแผ่นดิน ผู้ที่ได้ประโยชน์ที่แท้จริง ก็คือประชาชนนั่นเอง
วัดพระธรรมกาย...เราเริ่มสร้างขึ้นจากวัดเล็กๆ มีศาลาปฏิบัติธรรมจุคนได้เพียง 450คน แต่เพราะการตั้งใจเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ประชาชนที่มาวัดจึงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นหลักหมื่นหลักแสน จึงจำเป็นต้องสร้างศาลาอาคารมารองรับ
มหาธรรมกายเจดีย์...สร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมใจปฏิบัติธรรมของพระภิกษุสงฆ์จำนวน 1หมื่นรูป สาธุชนจำนวน 1ล้านคน แม้ขณะกำลังก่อสร้างอยู่ ก็มีคนมาปฏิบัติธรรมกันในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ครั้งละกว่าแสนคนแล้ว
สิ่งก่อสร้างในวัดพระธรรมกาย จึงสร้างขึ้นเพื่อการใช้งานจริง งบประมาณในการก่อสร้างก็มาจากประชาชนทำบุญ ผู้ใช้ก็คือประชาชน ประโยชน์ก็เกิดขึ้นกับชาวพุทธทั้งแผ่นดิน


คำถามที่5.
ถาม:แทนที่จะสร้างวัด เอาเงินไปสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล ไม่ดีกว่าหรือ
ตอบ:การสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล ก็ควรทำ สร้างโรงเรียนทำให้คนฉลาดมีความรู้ สร้างโรงพยาบาลทำให้คนมีสุขภาพแข็งแรง หายจากโรคภัยไข้เจ็บ แต่ทว่า...ผู้มีสุขภาพแข็งแรง ฉลาดมีความรู้มาก หากไม่มีศีลธรรมแล้ว ก็จะสร้างความเดือดร้อนแก่สังคมได้มาก เราจึงจำเป็นต้องสร้างวัด เพื่อเป็นที่ปลูกฝังคุณธรรมแก่ประชาชนด้วย

ขอให้ดูที่ความจริงอย่างหนึ่งที่มักถูกมองข้ามไป คือ คนในสังคมเมื่อทำงาน เกิดความเครียดขึ้นแล้ว ก็มักหาทางคลายเครียด พักผ่อนหย่อนใจกันด้วยวิธีการต่างๆ บ้างก็ดื่มเหล้า บ้างก็สูบบุหรี่ บ้างก็ไปดูภาพยนตร์ บ้างก็ไปเที่ยว บ้างก็ไปวัด

ผู้ที่ชอบดื่มเหล้า ก็จะใช้ทรัพย์เพื่อการซื้อเหล้า ทำให้เกิดโรงงานผลิตเหล้า เกิดบาร์ คลับ ผับ ขึ้นมารองรับ ผู้ที่ชอบสูบบุหรี่ ก็จะใช้จ่ายทรัพย์เพื่อบุหรี่ ทำให้เกิดโรงงานบุหรี่ และเครือข่ายขึ้นมารองรับ ผู้ที่ชอบดูภาพยนตร์ ก็จะใช้จ่ายทรัพย์เพื่อการนี้ ทำให้เกิดการผลิตภาพยนตร์ โรงงานภาพยนตร์มารองรับ ผู้ที่ชอบเที่ยว ก็จะใช้จ่ายทรัพย์เพื่อการท่องเที่ยว ทำให้เกิดบริษัท ทัวร์ ดิสนีย์แลนด์ สถานท่องเที่ยวต่างๆขึ้นมารองรับ ผู้ที่ชอบเข้าวัด เขาก็จะนำงบหย่อนใจตรงนี้ ไปทำบุญแทนและก็เกิดเป็นวิหาร เจดีย์ โบสถ์ ศาลา มารองรับ

เราไม่สามารถบอกให้คนที่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ให้เลิกดื่ม เลิกสูบ แล้วเอาเงินไปสร้าง โรงเรียน โรงพยาบาล หรือสร้างวัดได้ มันเป็นความสมัครใจของเขา เราบังคับไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราผลักดันให้คนเลิกทำบุญ เลิกเข้าวัด งบหย่อนใจของเขาตรงนี้ ก็อาจจะกลายเป็นโรงเรียน โรงพยาบาลก็ได้ หรืองบตรงนี้ของเขาอาจกลายเป็นโรงเหล้า โรงบุหรี่ หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น เพราะเราบังคับเขาไม่ได้ เป็นเรื่องความสมัครใจของแต่ละคน
ดังนั้น ถ้าเราคิดว่าขณะนี้ผู้คนในสังคมมีศีลธรรมมากเกินไป เข้าวัดมากเกินไป ก็ควรจะช่วยกันรณรงค์ให้คนเลิกเข้าวัด แต่ถ้าคิดว่าผู้คนในสังคม ยังมีศีลธรรมน้อยเกินไป ก็ควรจะช่วยกันรณรงค์ให้เข้าวัด ทำความดีให้มากขึ้น พิจารณาดูสิว่าสภาพปัจจุบันเป็นอย่างไร

บ้านเมืองใด หากมีโรงเหล้า โรงบุหรี่ สถานเริงรมย์ มากมายใหญ่โต แต่มีศาสนสถานเล็กๆ ไม่มีคนสนใจ บ้านเมืองนั้นก็น่าเป็นห่วง แต่บ้านเมืองใดหากมีวัดใหญ่ๆ ศาสนสถานใหญ่ๆ ผู้คนเข้าวัดเข้าวากันมากมาย ก็เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็น ถึงความเจริญของศีลธรรมของผู้คนในสังคมนั้นๆ ศาสนสถานที่สร้างขึ้น หากสร้างขึ้นเพื่อใช้งานจริง มีประชาชนมาอาศัยใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมกันอย่างเนืองแน่น จึงเป็นที่ควรสนับสนุนมิใช่หรือ

คำถามที่6.

ถาม:ทำไม วัดพระธรรมกายจึงมักมีการบอกอานิสงส์ของการทำบุญ แบบเอาสวรรค์มาล่อ
ตอบ:การทำให้เกิดฉันทะ ความรัก ความสนใจ พอใจที่จะทำสิ่งใด ท่านบอกว่าจะต้องให้เห็นประโยชน์ว่าทำแล้ว ได้อะไร การเห็นประโยชน์ทำให้เกิดฉันทะ ฉันทะทำให้เกิดวิริยะ วิริยะทำให้เกิดจิตตะ จิตตะทำให้เกิดวิมังสา รวมเป็น อิทธิบาทสี่ ธรรมอันยังความสำเร็จให้เกิดขึ้น
แนวทางการแสดงธรรมแก่คฤหัสถ์ผู้ครองเรือน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้อยู่เสมอ คือ หลักอนุปุพพิกถา ซึ่งเป็นการแสดงธรรมไปตามลำดับหัวข้อ มีเนื้อหาลุ่มลึกไปตามลำดับ เพื่อขัดเกลาอัธยาศัยผู้ฟังให้ประณีตขึ้นไปเป็นขั้นๆ คือ
1.ทานกถา ทรงแนะนำสั่งสอนให้ทุกคนให้ทาน มีความเอื้อเฟื้อต่อกัน เสียสละแบ่งปันกัน
2.ศีลกถา ทรงแนะนำสั่งสอนให้ทุกคนรักษาศีล มีความประพฤติที่ถูกต้องดีงาม

3.สัคคกถา ทรงพรรณนาซึ่งสวรรค์ ทรงชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่ตั้งใจให้ทาน รักษาศีล ดังที่กล่าวแล้วใน 2ข้อข้างต้น จะได้รับอานิสงส์ คือ การเข้าถึงโลกสวรรค์ ซึ่งมีความสุข ความเจริญ อย่างไร
4.กามาทีนพ หากบุคคลผู้ฟังธรรมมีอัธยาศัยที่จะออกบวชได้ พระองค์ก็จะทรงแสดงถึงโทษของกามว่า มีทุกข์มาก มีโทษมาก มีสุขน้อย อย่างไร
5.เนกขัมมานิสงส์ เมื่อทรงแสดงถึงโทษของกามหมดแล้ว ก็จะทรงแสดงถึงอานิสงส์ของการออกบวช เสร็จแล้วผู้ฟังธรรมนั้นก็มักทูลขอบวช และได้บรรลุธรรมไปตามลำดับ

หลักอนุปุพพิกถานี้ เป็นแนวทางสำคัญในการสั่งสอนประชาชนมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล วัดพระธรรมกายได้ใช้แนวทางนี้ในการอบรมสั่งสอนประชาชน ตามหลักการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางไว้แล้วนั่นเอง


คำถามที่7.
ถาม:การทำบุญแล้วมีการมอบพระบูชา เช่น พระมหาสิริราชธาตุ เป็นการทำให้คนติดในวัตถุมงคลหรือไม่

ตอบ:ผู้คนในโลกมีจริตอัธยาศัยต่างๆกัน บางคนก็พุทธิจริต เอาปัญญานำหน้าไม่สนใจเรื่องอื่นๆ จะเอาเนื้อหาธรรมะคำสอนเป็นหลัก พระพุทธรูปต่างๆก็ไม่สนใจ ไม่มีความจำเป็น แต่คนประเภทนี้มีน้อย คนส่วนใหญ่ยังต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ต้องการกำลังใจในการทำความดี แล้วค่อยๆยกระดับใจสูงขึ้นเป็นชั้นๆ เมื่อใดเข้าถึงธรรมหมดกิเลส วัตถุเครื่องยึดเหนี่ยวใจภายนอกก็หมดความจำเป็น ปู่ย่าตายายของเรา ท่านเข้าใจธรรมชาติของคนตรงนี้ดี จึงมีการสร้างพระเครื่อง มอบให้ชาวพุทธได้ติดตัวไว้บูชา เป็นเครื่องระลึกนึกถึงพระรัตนตรัย เตือนสติไม่ให้ทำชั่ว แต่ให้มีกำลังใจในการทำความดี

พระเครื่องที่สร้างโดยพระภิกษุสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็ได้รับความเชื่อถือกันว่า มีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองผู้ที่ตั้งใจบูชา ก็ยิ่งเป็นกำลังใจในการสร้างความดีของผู้ที่มีไว้ครอบครอง
หากผู้ใดได้พระเครื่องไปบูชาแล้ว เชื่อในอำนาจศักดิ์สิทธิ์ เช่น หนังเหนียวแล้วไปอวดเบ่งเป็นนักเลง ตีรันฟันแทง ผู้นั้นทำผิด แต่ผู้ใดได้พระเครื่องไปบูชาแล้ว เชื่อมั่นในอำนาจพุทธคุณ พระเครื่องนั้นเป็นประดุจสัญลักษณ์ตัวแทนของพระรัตนตรัย ที่อยู่ประจำตน ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ มีกำลังใจ ในการทำความดียิ่งๆขึ้นไป การบูชาพระพุทธรูปอย่างนั้น จึงเป็นการกระทำที่เป็นประโยชน์ เปรียบเหมือนคนลงน้ำใหม่ๆยังว่ายน้ำไม่เป็น ก็ต้องใช้ขอนไม้เกาะไว้ก่อน เพื่อพยุงตัวไม่ให้จม ต่อเมื่อว่ายน้ำแข็งแล้ว ก็ไม่ต้องอาศัยวัตถุอื่นมาพยุงตัวต่อไป สามารถว่ายน้ำตัดตรงขึ้นฝั่งได้เลย

คำถามที่8.
ถาม:พูดกันมาก โดยเฉพาะในหนังสือพิมพ์ว่า การบอกบุญทำบุญของวัดพระธรรมกายเป็นแบบ Direct Sales หรือขายตรง ความจริงเป็นอย่างไร
ตอบ:ผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านการตลาดอย่าง คุณมานิต รัตนสุวรรณ อดีตนายกสมาคมนักการตลาดแห่งประเทศไทย ได้เคยให้ความรู้ หรือแม้ออกรายการโทรทัศน์ วิทยุ ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้วง่ายๆสั้นๆ โดยหลักของการขายตรงมีอยู่ว่า ต้องมีค่าตอบแทนเป็นรายได้ แล้วมักจะเป็นรายได้อย่างงาม เท่านั้นเปอร์เซ็นต์ เท่านี้เปอร์เซ็นต์ ที่เรียกกันว่า Commission หลักพื้นฐานอย่างนี้ ผู้ที่เรียนวิชาบริหารธุรกิจมาบ้าง ก็น่าจะพอทราบเหมือนกัน
ดังนั้น ก็มาเปรียบเทียบกับการบอกบุญของวัดพระธรรมกาย ได้ชัดเจนเลยว่าต่างกัน ใครก็ได้ที่เห็นคุณค่างานพระพุทธศาสนา อยากสนับสนุนกิจกรรมอบรมศีลธรรม สร้างคนดีในสังคม ก็สามารถที่จะบอกต่อ เชิญชวน คนโน้นคนนี้มาร่วมบุญ ทำบุญในโอกาสต่างๆได้ จะทำบุญภัตตาหารก็ได้ บุญซื้อที่ บุญสร้างองค์พระ บุญสร้างศาลา ฯลฯ ก็ได้ทั้งนั้น
ก็เหมือนๆวัดทั่วไป คือ ทำหน้าที่ชักชวนกันมาทำความดี หรือชวนคนมาทำบุญ จะชวนคนมาทำบุญร้อยบาท ล้านบาท ก็ไม่มีส่วนแบ่ง ไม่มีเปอร์เซ็นต์ ทุกคนทำด้วยความศรัทธา ทั้งยังต้องเสียสละ เช่น เสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปพบ เสียค่าโทรศัพท์พูดคุย หรือต้องเสียเวลาพามาวัด มาดูสถานที่ มาดูกิจกรรมเสียก่อนด้วยซ้ำ ฉะนั้น ไม่ใช่การขายตรงอย่างแน่นอน

ในกรณีการสร้างพระธรรมกายประจำตัว ทางวัดพระธรรมกายได้จัดสร้างพระพุทธรูปองค์เล็กๆขึ้น เพียงเพื่อมอบให้เป็นของขวัญกำลังใจ ในการทำความดี แก่ผู้นำบุญผู้เสียสละ ชักชวนบุคคลอื่นมาทำความดีเท่านั้น ไม่มีผลตอบแทนในรูปตัวเงินใดๆทั้งสิ้น


คำถามที่9.
ถาม:ทำบุญควรหวังผลหรือไม่

ตอบ:การทำความดี ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนา ทำแล้วก็เกิดบุญ ผู้ที่ทำความดีแล้วก็หวังจะได้บุญ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทำโดยรู้วัตถุประสงค์ รู้เป้าหมาย จากนั้นก็พยายามสร้างบุญที่ประณีตขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่บุญจากการให้ทาน ต่อมาเป็นบุญจากการรักษาศีล และบุญจากการเจริญสมาธิภาวนา จากบุญระดับโลกียะ เป็นบุญระดับโลกุตตระ จนกระทั่งหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ นี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทำบุญแล้วหวังบุญก็เหมือนนักเรียนเรียนหนังสือแล้วหวังจะได้ความรู้ ซึ่งยอมได้ผลแห่งการศึกษาดีกว่าผู้ที่เรียนโดยไม่หวังความรู้


คำถามที่10.
ถาม:ทำบุญมาก ได้บุญมาก จริงหรือ

ตอบ:การทำทานให้ได้บุญมาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มีองค์ประกอบ 3ประการ คือ
1.วัตถุบริสุทธิ์ คือ สิ่งที่ให้ทานได้มาด้วยความสุจริตถูกต้อง
2.เจตนาบริสุทธิ์ คือ มีความเลื่อมใสศรัทธา ให้เพื่อหวังบุญจริงๆ ไม่ได้หวังผลตอบแทน หรือไม่มีเจตนาแอบแฝงหวังประโยชน์ และเมื่อให้แล้วก็ไม่นึกเสียดายภายหลัง
3.บุคคลบริสุทธิ์ คือ ผู้รับเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ มีคุณธรรม ยิ่งมีคุณธรรมมากเท่าใด บุญก็ยิ่งได้มากไปตามส่วน เช่น ทำบุญกับพระพุทธเจ้า ก็ได้บุญมากกว่าทำบุญกับบุคคลทั่วไป และยิ่งผู้ให้มีศีลบริสุทธิ์ด้วยแล้ว บุญก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก
ถ้าเงื่อนไขดังกล่าว คือ วัตถุ เจตนา และบุคคลผู้ให้-ผู้รับ มีความบริสุทธิ์เท่ากันแล้ว แน่นอนว่าผู้ที่ให้ทานเป็นจำนวนมากกว่าก็ย่อมได้รับผลมากกว่า เหมือนคนทำนา 100ไร่ ย่อมได้ผลมากกว่าคนทำนา 1ไร่
แต่หากผู้ที่ให้ทานด้วยทรัพย์แม้เป็นจำนวนน้อยกว่า แต่มีความตั้งใจ มีความเลื่อมใสศรัทธาเต็มเปี่ยม และได้ให้ทานกับคนที่มีคุณธรรมสูง ก็อาจได้บุญมากยิ่งกว่าผู้ทำด้วยทรัพย์มากยิ่งกว่าเป็นร้อยๆเท่าก็ได้ ดังตัวอย่างของมหาทุคตะในครั้งพุทธกาล ถวายข้าวเพียงมื้อเดียวแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ทำด้วยความเลื่อมใส ศรัทธาเต็มที่ ก็ได้อานิสงส์ผลบุญทันตาเห็น กลายเป็นมหาเศรษฐีประจำเมือง

คำถามที่11.
ถาม:ได้ข่าวว่า วัดพระธรรมกายนำมาซึ่งการถกเถียงขัดแย้งในบางครอบครัว จะอธิบายอย่างไร
ตอบ:ผู้ที่มาวัดพระธรรมกายมีเป็นจำนวนมากหลายแสนคน และส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดก็มีชีวิตที่ดีขึ้น มีครอบครัวที่อบอุ่น มีความสุขขึ้น มีหลายคนมาเล่าให้ฟังว่า แต่ก่อนพ่อบ้านชอบดื่มเหล้า เมามาแล้วอาละวาด ทะเลาะทุบตีแม่บ้านเสมอ หลังจากเข้าวัดแล้วก็เลิกเหล้า รักลูกรักเมีย ตั้งใจทำงาน ครอบครัวอบอุ่นมีความสุข บางทีเคยเจ้าชู้ก็เลิก บางครอบครัว ลูกที่เคยเกเร หลังจากได้รับการอบรมจากวัด ก็ได้คิดรู้ถึงคุณของพ่อแม่ จึงกลับตัวกลับใจ ตั้งใจเรียนหนังสือ เป็นเด็กดี พ่อแม่ก็ดีใจมาก มีตัวอย่างทำนองนี้มากมาย
มีบางส่วน ที่สื่อมวลชนยกกรณีครอบครัวมีปัญหาเพราะวัด ขึ้นมากล่าวนั้น สามีภรรยาคู่นั้นอาจจะมีความขัดแย้งกันอยู่แล้วในหลายๆเรื่อง แล้วก็เลยโทษว่าเป็นเพราะวัดเป็นต้นเหตุ ก็คงจะเป็นข้อสรุปที่บิดเบือนไม่ตรงกับความเป็นจริง ต้องดูภาพรวมด้วยใจที่เป็นธรรม
ยกตัวอย่าง ถ้าครอบครัวใดเกิด พ่อบ้าน-แม่บ้านมีความเห็นขัดกันว่า จะให้ลูกเรียนต่อดีไหม ฝ่ายหนึ่งบอกว่า น่าจะกัดฟันส่งเสียให้เรียนให้จบ ไหนๆก็เรียนมาขนาดนี้แล้ว ลำบากตอนนี้อนาคตจะได้สบาย อีกฝ่ายบอกว่า เศรษฐกิจอย่างนี้เงินทองไม่พอใช้ ให้ลาออกมาทำมาหากินดีกว่า จึงเป็นสาเหตุให้ทะเลาะกัน เราจะมาสรุปว่าการศึกษาในมหาวิทยาลัยไม่ดี นำมาซึ่งการถกเถียงขัดแย้งแตกแยกในครอบครัวก็คงไม่ถูก ต้องดูภาพรวม อย่านำจุดย่อยเพียงบางจุดมาขยายภาพให้ใหญ่โต กลบทับภาพแห่งความจริงในส่วนใหญ่


คำถามที่12.
ถาม:มีการถกเถียงกันว่า นิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตา ไม่ทราบว่าความจริงเป็นอย่างไร

ตอบ:การถกเถียงว่า พระนิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตา นี้ไม่ได้มีแต่เฉพาะในประเทศไทยเราเท่านั้น แต่ในต่างประเทศทั้งในยุโรปและในประเทศทางตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น ก็มีการถกเถียงกันในหมู่นักวิชาการทางพระพุทธศาสนา มาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว มีทั้งผู้ที่คิดว่า นิพพานเป็นอัตตา และที่คิดว่า นิพพานเป็นอนัตตา แต่ละฝ่ายล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญทางพระพุทธศาสนา มีชื่อเสียงระดับโลกทั้งนั้น ต่างฝ่ายต่างก็ได้หยิบยกหลักฐานในพระไตรปิฎก และอรรถกถาฎีกา ขึ้นมาสนับสนุนความเห็นของตน

หลักฐานที่หยิบยกนำขึ้นกล่าวในประเทศไทยของเรา ความจริงในต่างประเทศเขาก็ได้หยิบยกขึ้นมาอ้างกันก่อนแล้วเป็นส่วนใหญ่ และยังวิเคราะห์กันอย่างละเอียด เป็นผลงานวิจัยเล่มโตๆ ฝ่ายละหลายๆเล่มด้วยกัน แต่สุดท้ายก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตน
เรื่องอายตนนิพพานนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า มีอยู่จริง และทรงอธิบายด้วยการปฏิเสธว่าไม่ใช่สิ่งนี้ เพราะอายตนนิพพานเป็นสิ่งที่เกินกว่าวิสัย และประสบการณ์ในโลกของปุถุชนใดๆ จะสามารถเข้าใจได้ ดังความในพระไตรปิฎกเล่มที่25 ข้อที่158 ปฐมนิพพานสูตร ความว่า...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ โลกนี้โลกหน้า พระจันทร์และพระอาทิตย์ ทั้งสองย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์
ดังนั้นสิ่งที่เราชาวพุทธพึงเชื่อมั่นก็คือ อายตนนิพพานนั้นมีอยู่ และเป็นที่สุดแห่งทุกข์ เป็นเป้าหมายสูงสุดในการสร้างความดีของชาวพุทธทั้งหลาย
เมื่อทราบดังนั้นแล้ว ก็ขอให้ขวนขวายทำความดี ด้วยการเจริญมรรคมีองค์แปด ปฏิบัติตามหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อเราปฏิบัติจนสามารถเข้าถึงอายตนนิพพานนั้นได้แล้ว เราย่อมตระหนักชัดด้วยตัวเราเองว่า นิพพานนั้นเป็นอัตตา หรืออนัตตา ดีกว่าการมานั่งทะเลาะกันโดยไม่ลงมือปฏิบัติ


คำถามที่13.
ถาม:คำว่า ธรรมกาย มีในพระไตรปิฎกหรือไม่

ตอบ:คำว่า ธรรมกาย มีหลักฐานปรากฏในพระไตรปิฎกอยู่ 4แห่ง และในคัมภีร์อรรถกถา และฎีกาอีกหลายสิบแห่ง ดังรายละเอียดในหัวข้อเรื่องหลักฐานวิชชาธรรมกาย นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์พระไตรปิฎกจีนในส่วนที่เป็นเนื้อหาของหินยาน มีการกล่าวถึงคำว่า ธรรมกาย ในหลายๆแห่งระบุถึงความหมายของคำว่า พระธรรมกาย และแนวทางการเข้าถึงไว้อย่างน่าสนใจ แต่เนื้อหาในพระไตรปิฎก ฉบับบาลี ตกหล่นไป
คำว่า ธรรมกาย นี้จึงมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลอย่างแน่นอน โดยไม่มีข้อสงสัย และโต้แย้งใดๆ ที่เป็นประเด็นถกเถียงกันก็คือ ความหมายของคำว่า ธรรมกาย บ้างก็กล่าวว่า หมายถึงโลกุตรธรรมเก้า บ้างก็กล่าวว่าหมายถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า บ้างก็กล่าวว่าหมายถึงกายแห่งการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า สิ่งที่สามารถสรุปได้อย่างมั่นใจอย่างหนึ่งก็คือ เราไม่สามารถอาศัยหลักฐานทางคัมภีร์ เท่าที่มีเหลืออยู่ในปัจจุบัน มาเป็นเครื่องยืนยันว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างกันนั้น ความคิดอันใดอันหนึ่งถูกต้องอย่างปราศจากข้อโต้แย้งใดๆ
ดังนั้น สิ่งที่ชาวพุทธควรจะกระทำก็คือ ตั้งใจปฏิบัติตามหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติตามหลักมรรคมีองค์แปด และตั้งใจทำความดี ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา ลด ละ เลิก อบายมุข สมัครสมานสามัคคีกัน การถกเถียงกันด้วยเรื่องที่ไม่อาจได้ข้อสรุป ด้วยคำพูด และตัวหนังสือ เป็นสิ่งที่ไม่ให้ประโยชน์ กลับอาจนำมาซึ่งการทะเลาะเบาะแว้ง และการแตกแยก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พระองค์จะไม่ทรงพยากรณ์ในเรื่องที่เกินวิสัยของปุถุชนคนธรรมดาจะเข้าใจได้ด้วยคำพูด เช่น ไม่ทรงตอบเรื่องโลกนี้โลกหน้าว่า มีจริงไหม โลกมีที่สิ้นสุดหรือไม่ เป็นต้น เพราะตอบไปแล้ว ถ้าเขาไม่เชื่อก็หาข้อสรุปไม่ได้ สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำก็คือ แนะนำให้เขาปฏิบัติธรรม ทำความดีและเมื่อปฏิบัติไปถึงจุดแล้ว เขาก็จะรู้ได้ด้วยตัวเอง เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน

ดังนั้น สิ่งที่ชาวไทยชาวพุทธ ผู้รู้ ผู้มีความปรารถนาดีต่อพระพุทธศาสนา และสังคมไทยทุกคน ควรทำภารกิจเร่งด่วนในปัจจุบัน คือ ทำอย่างไร จึงจะยกระดับศีลธรรมของคนในสังคมได้ ทำอย่างไร เราจึงจะดึงคนเข้าวัดปฏิบัติธรรม ให้ชาวพุทธทุกคนเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ให้สังคมไทยเป็นสังคมที่สงบร่มเย็นเป็นสุข มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ผู้คนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกัน อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข


ที่มา www.dmc.tv




E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. Copyright (c) ๒๐๐๔ All rights reserved.